Toey^^

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

ทองหยอด

ขนมหวานไทย : ขนมทองหยอด

ส่วนผสม

* ไข่เป็ด 18 ฟอง

* แป้งทองหยอด 1 ถ้วยตวง (หรือแป้งข้าวเจ้า)

* น้ำตาลทราย 5 ถ้วยตวง

* น้ำลอยดอกมะลิ 5 ถ้วยตวง


วิธีทำ


1. ผสมน้ำลอยดอกไม้กับน้ำตาลทรายลงในกระทะทองเหลือง แล้วนำไปตั้งไฟแรงให้เดือด เคี่ยวทิ้งไว้ประมาณ 10-15 นาที จากนั้นจึงแบ่งน้ำเชื่อมส่วนหนึ่งออกมาสำหรับแช่ทองหยอดที่สุกแล้ว

2. ต่อยไข่ แยกไข่ขาวออก ใช้เฉพาะไข่แดง โดยนำไข่แดงไปกรองในผ้าขาวบางเพื่อรีดเอาเยื่อออก จากนั้นจึงตีไข่แดงให้ขึ้นฟู จากนั้นค่อยๆผสม แป้งทองหยอดลงไปและคนให้แป้งและไข่แดงเข้ากัน

3. นำไข่แดงที่ผสมแป้งเรียบร้อยไปหยอดในน้ำเชื่อม สำหรับวิธีหยอดนั้นให้ใช้นิ้วหัวแม่มือ นิ้วชี้ และนิ้วกลาง หยิบส่วนผสมมาเป็นลูกขนาดพอประมาณ แล้วจึงสบัดลงไปในน้ำเชื่อม ทำเช่นนี้จนเต็มกระทะทองเหลือง จากนั้นรอจนทองหยอดสุกจึงตักออกมาพักใส่ในน้ำเชื่อมที่แยกไว้ก่อนหน้านี้ (ทองหยอดที่สุกจะลอยขึ้น)

4. จัดทองหยอดใส่จานเสริฟเป็นของว่างหรือของทานเล่นในวันพักผ่อนสบายๆ


ที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/

Thai_egg_yolk_fudge_balls_cooked_in_syrup_th.html

ขนมตะโก้

ขนมหวานไทย : ขนมตะโก้แห้ว


ส่วนผสม

สำหรับทำตัวตะโก้

* แป้งถั่วเขียว 1 ถ้วยตวง

* น้ำกลิ่นมะลิ 3 ถ้วยตวง

* น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง

* น้ำใบเตยคั้น 1/2 ถ้วยตวง

* แห้วต้มหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1/2 ถ้วยตวง

* กระทงหรือแบบสำหรับใส่ขนม

สำหรับทำหน้าตะโก้

* แป้งข้าวเจ้า 1/2 ถ้วยตวง

* กะทิ 2 ถ้วยตวง

* เกลือป่น 1 ช้อนชา


วิธีทำ

1. เตรียมทำตัวตะโก้ โดยผสมแป้งถั่วเขียว, น้ำตาลทราย, น้ำใบเตยและ น้ำกลิ่นมะลิ เข้าด้วยกันในหม้อ และนำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กวนจนสุกและข้น

2. จากนั้นใส่แห้วจีนต้มที่หั่นเตรียมไว้ลงไปในหม้อ กวนต่ออีกสักครู่จึงปิดไฟ ตักตัวตะโก้หยอดในกระทงหรือแบบพิมพ์ที่เตรียมไว้ประมาณครึ่งนึงของแบบ

3. เตรียมทำหน้าตะโก้ โดยผสมแป้งข้าวเจ้า, กะทิ และเกลือป่น เข้าด้วยกันในหม้อขนาดเล็ก จากนั้นนำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง กวนจนข้นพอดี จึงปิดไฟ

4. หยอดหน้าตะโก้ลงบนกระทงหรือแบบให้เต็ม ทิ้งไว้ให้เย็น จัดใส่จานเสริฟเป็นของว่างได้ทันที


ที่มา http://www.ezythaicooking.com

/free_dessert_recipes/Thai_pudding_with_coconut_topping_th.html

ข้าวเหนียวดำ

ขนมหวานไทย : ข้าวเหนียวดำเผือก


ส่วนผสม

* ข้าวเหนียวดำ 1/2 ถ้วยตวง

* เผือกหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า 1/2 ถ้วยตวง

* น้ำเปล่า 3 1/2 ถ้วยตวง

* หัวกะทิ 1 ถ้วยตวง

* น้ำตาลทราย 1/4 ถ้วยตวง (ปรับได้ตามความหวานที่ต้องการ)


วิธีทำ

1. นำข้าวเหนียวดำไปล้างทำความสะอาด แล้วจึงใส่หม้อและใส่น้ำเปล่าลงไป ต้มทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที คนเป็นระยะๆ จนข้าวเหนียวสุก

2. ระหว่างรอข้าวเหนียวสุก นำเผือกมาปอกเปลือกและหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า แล้วนำไปนึ่งจนสุก ทิ้งไว้ให้เย็น

3. เมื่อข้าวเหนียวสุก เติมหัวกะทิ (เหลือหัวกะทิไว้นิดหน่อยเพื่อราดหน้าตอนเสริฟ) น้ำตาลและเผือกนึ่ง ต้มต่อไปอีกประมาณ 5 นาที

4. ตักใส่ถ้วย ราดหน้าด้วยน้ำกะทิ และเสริฟเป็นของว่างได้ทันทีขณะยังร้อน หรือเสริฟขณะเย็นแล้วก็ได้


ที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/

Thai_black_sticky_rich_pudding_th.html

ขนมเปียกปูน

ขนมหวานไทย : ขนมเปียกปูน

ส่วนผสม

* แป้งข้าวเจ้า 2 ถ้วยตวง

* แป้งเท้ายายม่อม 2 ช้อนโต๊ะ

* น้ำตาลมะพร้าว 400 กรัม

* น้ำกาบมะพร้าวเผา 3/4 ถ้วยตวง

* น้ำกะทิ 1 ถ้วยตวง

* น้ำปูนใส 4 ถ้วยตวง

* เนื้อมะพร้าวฝอย 1 1/2 ถ้วย (คลุกเกลือนิดหน่อย ไว้สำหรับโรยหน้า)


วิธีทำ

1. นำกาบมะพร้าวไปเผาไฟพอไหม้นิดหน่อยจึงนำไปจุ่มลงในน้ำสะอาด ทิ้งไว้ให้กาบมะพร้าวแห้ง จึงนำไปโขลกให้ละเอียด และร่อนจนได้ผงละเอียด แล้วจึงนำไปผสมกับน้ำสะอาด 3/4 ถ้วยตวง

2. ผสมแป้งข้าวเจ้าและ แป้งเท้ายายม่อม กับน้ำกะทิ, น้ำปูนใส, น้ำกาบมะพร้าว (ที่ทำในขั้นตอนที่ 1)และ น้ำตาลมะพร้าว ผสมจนทุกอย่างละลายเข้ากันดีจึงนำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง

3. เมื่อกรองเสร็จแล้ว เทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเทฟลอนก็ได้) นำไปตั้งไฟกวนโดยใช้ไฟแรง กวนสักพักพอแป้งจับตัวกันเป็นก้อน จึงลดไฟลงและ กวนต่อจนส่วนผสมข้นและเหนียว จึงเทใส่ถาดเกลี่ยหน้าให้เรียบหรือเทใส่แบบพิมพ์ที่เตรียมไว้

4. ถ้าเทใส่ถาด รอจนส่วนผสมเย็นจึงตัดเป็นชิ้น โรยด้วยเนื้อมะพร้าวฝอย ตักเป็นชิ้นใส่จานเสริฟ หรือเสริฟทั้งถาดแล้วแต่ความเหมาะสม


ที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/

Thai_black_coconut_sweet_pudding_th.html

กล้วยบวดชี

ขนมหวานไทย : กล้วยบวดชี

ส่วนผสม

* กล้วยน้ำว้า 8 ลูก (เลือกห่ามๆ ไม่สุกมาก)

* หัวกะทิ 450 มิลลิลิตร

* หางกะทิ 500 มิลลิลิตร

* ใบเตย 2 ใบ

* น้ำตาลปี๊บ 40 กรัม

* น้ำตาลทรายขาว 40 กรัม

* เกลือ


วิธีทำ

1. นำกล้วยไปนึ่งในน้ำเดือดประมาณ 3-5 นาที หรือนึ่งจนกระทั่งผิวกล้วยเริ่มแตกออก จึงปิดไฟและนำออกมาปอกเปลือกและหั่นครึ่งลูก จากนั้นจึงหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ

2. นำหางกะทิไปต้มในหม้อและใส่ใบเตยลงไปด้วย เมื่อเดือดแล้วจึงใส่กล้วยที่หั่นไว้แล้วลงไป ตามด้วยน้ำตาลปี๊บ, น้ำตาลทรายขาวและเกลือนิดหน่อย

3. เมื่อกะทิเริ่มเดือดอีกครั้งจึงใส่หัวกะทิลงไป และปล่อยทิ้งไว้ให้เดือดอีกประมาณ 3 นาที ถ้าต้องการให้น้ำข้นเหนียวก็ให้ใส่แป้งมันลงไปประมาณ 1 ช้อนชาและคนให้ละลายทั่ว

4. อย่าต้มนานจนเกินไปเพราะจะทำให้กล้วยเละ กล้วยควรจะยังแข็งนิดหน่อย จากนั้นตักใส่จานและเสริฟทันที

ที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/banana_

in_coconut_milk_th.html

ข้าวเหนียวมะม่วง


ขนมหวานไทย : ข้าวเหนียวมะม่วง

ส่วนผสม

* มะม่วงสุก 3 ลูก

* ข้าวเหนียว 1 กิโลกรัม

* หัวกะทิ 450 กรัม

* เกลือป่น 3/4 ช้อนชา

* น้ำตาลทราย 550 กรัม

* ใบเตย 3-5 ใบ

* ถั่วทอง 5 ช้อนโต๊ะ

* หัวกะทิ 2 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำราด)

* เกลือป่น 1/4 ช้อนชา (สำหรับทำน้ำราด)


วิธีทำ

1. นำข้าวเหนียวไปล้างและแช่น้ำทิ้งไว้ 1 คืน จากนั้นนำไปสะเด็ดน้ำ

2. นำผ้าขาวบางรองไว้ในซึ้งหรือหม้อนึ่ง แล้วจึงนำข้างเหนียววางลงบนผ้าขาวบาง จากนั้นนำไปนึ่งจนข้าวเหนียวสุก

3. ในหม้อขนาดเล็ก ใส่น้ำตาล, เกลือป่น (3/4 ช้อนชา) และหัวกะทิ และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี จากนั้นจึงใส่ใบเตยลงไป ทิ้งไว้สักพักจึงปิดไฟ

4. ในชามขนาดกลาง ใส่ข้าวเหนียวที่นึ่งไว้จนสุกดีแล้วลงไป จากนั้นจึงใส่น้ำกะทิที่เคี่ยวไว้ในขั้นตอนที่สามตามลงไป คนจนส่วนผสมเข้ากันทั่ว และทิ้งไว้อย่างน้อย 15 นาที

5. ในระหว่างที่รอ เตรียมทำน้ำกะทิราดหน้าโดย ผสมหัวกะทิ (2 ถ้วยตวง) และเกลือป่น (1/4 ช้อนชา) ลงในหม้อขนาดเล็ก และนำไปตั้งบนไฟอ่อนๆ คนจนเกลือละลายทั่ว จึงปิดไฟ

6. ปอกมะม่วงและจัดใส่จาน เวลาเสริฟ ตักข้าวเหนียวใส่จานจากนั้นโรยหน้าด้วยน้ำราดกะทิและถั่วทอง ควรเสริฟทันทีหลังจากปอกมะม่วงเสร็จใหม่ๆ


ที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/Thai_mango_with_sticky_rice_th.html

ทับทิมกรอบ


ทับทิมกรอบ

ส่วนผสม

* แห้ว 800 กรัม (ล้าง, ปอกเปลือกและหั่นเป็นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า)

* กะทิ 2 1/2 ถ้วยตวง

* เกลือป่น 2 ช้อนชา

* น้ำตาลทราย 2 ถ้วยตวง

* น้ำเปล่า 1 ถ้วยตวง

* น้ำหวานแดง 1 1/2 ถ้วยตวง

* แป้งมัน 500 กรัม

* ขนุนฉีกเป็นฝอย, เมล็ดข้าวโพดสุก (สำหรับโรยหน้า จะมีหรือไม่มีก็ได้)


วิธีทำ

1. นำแห้วที่หั่นเสร็จแล้วไปแช่ในน้ำแดงประมาณ 15 นาที จากนั้นจึงนำออกมาสะเด็ดน้ำ

2. นำแห้วที่แช่ในน้ำแดงไปคลุกในแป้งมันให้ติดผิว ค่อยๆคลุกให้ติดทั่วผิวแห้วทั้งหมด จากนั้น จึงนำไปต้มในน้ำเดือดจนสุกจึงนำออกมาแช่น้ำเย็น (วิธีสังเกตุ : แห้วสุกแล้วจะลอยขึ้นเหนือน้ำ)

3. เตรียมทำน้ำเชื่อม โดยผสมน้ำตาลกับน้ำและนำไปต้มจนเดือด คนจนส่วนผสมทั้งหมดละลายดี แล้วจึงปิดไฟ

4. นำกะทิและเกลือไปใส่ในหม้อขนาดเล็ก และนำไปตั้งบนไฟอ่อนจนส่วนผสมละลายเข้ากันดี จึงปิดไฟ

5. นำเมล็ดทับทิม ไปใส่ในถ้วยเสริฟ โรยหน้าด้วยเกล็ดน้ำแข็ง ราดด้วยน้ำเชื่อม,น้ำกะทิ, ขนุนฝอยและข้าวโพด (ถ้าต้องการ) เสริฟทันทีเป็นอาหารว่าง คลายร้อนในวันสบายๆ


ที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/Water_chestnut_

with_syrup_and_coconut_milk_th.html

สังขยาฟักทอง

ขนมหวานไทย : สังขยาฟักทอง


ส่วนผสม

* ฟักทอง 1 ลูก (น้ำหนักประมาณ 400 - 600 กรัม)

* ไข่่ 4 ฟอง

* หัวกะทิ 3/4 ถ้วยตวง

* น้ำตาลปิ๊บ 1/4 ถ้วยตวง

* แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ

* เกลือป่น 1/4 ช้่อนชา

* น้ำปูนใส


วิธีทำ

1. นำฟักทองมาตัดออกเป็นสี่เหลี่ยมบริเวณหัวขั้วจากนั้นจึงขวักเมล็ดข้างในออก

จนกลวงเป็นช่องภายใน จากนั้นจึงนำไปน้ำปูนใสประมาณ 8 - 10 นาที แล้วจึงนำออกมาสะเด็ดน้ำ

(เคล็ดลับ : แช่น้ำปูนใสเพื่อไม่ให้ฟักทองแตกเวลานึ่ง)

2. ระหว่างรอฟักทองที่แช่ในน้ำปูนใส เตรียมทำสังขยาโดยผสมไข่ไก่, หัวกะทิ , แป้งข้าวเจ้า,

น้ำตาลปิ๊บ และเกลือ คนจนส่วนผสมเข้ากันดี

3. นำส่วนผสมสังขยาที่ทำในขั้นตอนที่สองเทลงในฟักทอง จากนั้นจึงนำไปนึ่งประมาณ

20 - 25 นาที กรณีเสริฟเป็นลูกฟักทอง ก็นำฝาที่ตัดออกไปนึ่งด้วย ถ้าแบ่งเสริฟก็หั่นเป็นชิ้นๆ

เพื่อความสวยงามและน่ารับประทาน เวลาหั่นควรระวังไม่ให้สังขยาเละ

ที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/Thai_pumpkin_custard_th.html

ขนมลูกชุบ

ขนมหวานไทย : ลูกชุบ (Green Peanut in Jelly)

เครื่องปรุง + ส่วนผสม

* ถั่วเขียว 450 กรัม

* น้ำตาลทราย 200 กรัม (สำหรับผสมถั่ว)

* น้ำตาลทราย 1 ช้อนโต๊ะ (สำหรับทำน้ำวุ้น)

* น้ำกะทิ 400 กรัม

* วุ้นผง 3 ช้อนโต๊ะ

* น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำวุ้น)

* สีผสมอาหาร (อย่างน้อยแม่สี 3 สี : สีแดง, สีเหลืองและน้ำเงิน),

จานสีและพู่กัน

* ไม้จิ้มฟัน (สำหรับเสียบถั่วที่ปั้นแล้วเพื่อแต่งสีและจิ้มลงในน้ำวุ้น)

* โฟม (สำหรับเสียบถั่วปั้นระหว่างการทำ ถ้าวางบนพื้นจะเสียทรง)


วิธีทำ

1. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกมาทำความสะอาด และแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง

จากนั้นจึงนำไปนึ่งให้สุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที)

2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ให้นำไปใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมกับน้ำตาลทรายและ

น้ำกะทิปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี

3. จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้)

และตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆกวนจนข้นและเหนียว (ใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที)

จึงปิดไฟและทิ้งไว้ให้เย็น (ถั่วต้องแห้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนำไปปั้นได้)

4. ก่อนปั้นให้นวดส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงปั้นให้

เป็นรูปทรงตามใจชอบ (ผัก, ผลไม้หรือสัตว์น่ารักๆ) เมื่อปั้นเสร็จให้เสียบไม้จิ้มฟันรอไว้

ควรปั้นส่วนผสมทั้งหมดให้เสร็จเรียบร้อยก่อน ถั่วที่ปั้นเสร็จแล้วควรห่อไว้ด้วย

ผ้าขาวบางชุบน้ำหมาดๆ

5. ผสมสีผสมอาหารตามต้องการ แล้วจึงบรรจงแต่งสีลงบนถั่วปั้นให้เหมือนจริง

หรือตามแต่ความชอบ

6. ทำน้ำวุ้นโดยผสมน้ำเปล่า, ผงวุ้นและน้ำตาล ลงในหม้อ นำไปตั้งบนไฟร้อนปานกลาง

หมั่นคนอย่างสม่ำเสมอ รอจนส่วนผสมเดือด ช้อนฟองที่ลอยหน้าออก จึงหรี่ไฟลง

7. นำถั่วปั้นที่แต่งสีแล้วไปชุบในน้ำวุ้น ควรชุบประมาณ 2 - 3 ครั้ง ระหว่างชุบวุ้นต้อง

อุ่นน้ำวุ้นด้วยไฟอ่อนเพื่อไม่ให้วุ้นแข็ง ถ้าไม่พอก็ผสมน้ำวุ้นขึ้นใหม่ตามอัตราส่วนข้างต้น

8. นำลูกชุบออกจากไม้ิจิ้มฟัน ตัดแต่งเศษวุ้นส่วนเกินออกด้วยกรรไกร จัดใส่จาน

เสริฟเป็นของว่างในวันสบายๆได้ทันที

ที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/Green_peanut_

in_jelly_th.html

ขนมเม็ดขนุน

ขนมหวานไทย :  ขนมเม็ดขนุน

เครื่องปรุง + ส่วนผสม

* ถั่วเขียวเลาะเปลือก 450 กรัม

* น้ำตาลทราย 200 กรัม (สำหรับผสมถั่ว)

* น้ำตาลทราย 3 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำเชื่อม)

* น้ำกะทิ 400 กรัม

* น้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง (สำหรับทำน้ำเชื่อม)

* ไข่เป็ด 5 ฟอง (ใช้เฉพาะไข่แดง)

วิธีทำ

1. นำถั่วเขียวเลาะเปลือกมาทำความสะอาด และแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณ 2 ชั่วโมง จากนั้นจึงนำไปนึ่งให้สุก ใช้เวลาประมาณ 15 นาที)

2. เมื่อถั่วเขียวสุกดีแล้ว ให้นำไปใส่ในเครื่องปั่นไฟฟ้า พร้อมกับน้ำตาลทรายและน้ำกะทิ ปั่นจนส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันดี

3. จากนั้นจึงเทส่วนผสมลงในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้)และตั้งบนไฟอ่อนๆ ค่อยๆกวนจนข้นและเหนียว (ใช้เวลาประมาณ 20 - 30 นาที) จึงปิดไฟ และทิ้งไว้ให้เย็น (ถั่วต้องแห้ง มิเช่นนั้นจะไม่สามารถนำไปปั้นได้)

4. ก่อนปั้นให้นวดส่วนผสมทั้งหมดอีกครั้งจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว จากนั้นจึงปั้นให้เป็นรูปทรงเม็ดขนุน

5. ทำน้ำเชื่อมโดยผสมน้ำตาลและน้ำเปล่า นำไปเคี่ยวในกระทะทองเหลือง (หรือกระทะเคลือบเทฟลอนก็ได้) จนเหนียวข้นเป็นยางมะตูม จึงปิดไฟ

6. ตอกไข่และเลือกเอาเฉพาะไข่แดงมารวมกัน เขี่ยพอให้ไข่แดงแตก จากนั้นจึงนำเม็ดขนุนที่ปั้นเตรียมไว้ใส่ลงไปแช่ในไข่แดงทีละเม็ด แล้วจึงนำไปใส่ในน้ำเชื่อม พยายามอย่าให้ติดกัน พอใส่ลงไปมากแล้วจึงนำกระทะไปตั้งบนไฟอ่อนๆจนสุกทั่งจึงตักออกมาพัก ทำซ้ำเช่นนี้จนเม็ดขนุนที่ปั้นไว้หมด

7. จัดเม็ดขนุนใส่จาน เสริฟทานเป็นของว่างในวันสบายๆ


ที่มา http://www.ezythaicooking.com/free_dessert_recipes/Thai_green_peanut_paste_th.html

วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จูบทายนิสัย

หน้าผาก
คุณเป็นคนที่มีอารมณ์รุนแรง แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นคนที่รักสันติ ชอบที่จะให้อภัยคนอื่น และต้องการความนับถือจากผู้อื่นเช่นเดียวกัน คุณมีความสามารถพิเศษในการที่จะแสดงออกเป็นอย่างดี และเป็นคนที่มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีมากคนหนึ่ง

ดังนั้น คุณจึงสามารถมีชีวิตที่จะประสบผลสำเร็จในสังคมได้ และบรรดาเพื่อนๆ ที่อยู่รอบกายคุณจะมองว่าคุณเป็นคนที่สุภาพ และสามารถเข้าใจ พวกเขาได้เป็นอย่างดี

เปลือกตา
คุณเป็นโรมิโอที่หัวดื้อที่สุด ผู้ซึ่งต้องการที่จะรักมาก และคุณสามารถที่จะสละทุกสิ่งได้เพื่อความรัก ความรักของคุณจะแสดงออกมาในรูปแบบของความป่าเถื่อนและรุนแรง จนถึงกับกลายเป็นนักรักที่ดุร้าย ทำให้บางครั้งคนรักของคุณ
อาจมองว่าคุณเป็นคนเห็นแก่ตัว ปลายจมูก ในเรื่องของความสัมพันธ์ SEX ค่อนข้างที่จะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับคุณ คุณให้ความสำคัญต่อมิตรภาพความซื่อสัตย์ และมีความปรารถนาอย่างรุนแรงในเรื่องของความรักและ SEX
คุณเป็นคนสนุกสนาน และไม่ใช่คนอดทนพอที่จะพักอยู่เป็นเวลานานในที่ที่คุณปราศจากความสบาย

ดังนั้น จึงเป็นการยากที่คุณจะสร้างรากฐานที่มั่นคงในอาชีพหรือ การดำเนินชีวิตของคุณ และมันจะเป็นการชี้นำว่า
คุณไม่สามารถเปลี่ยนงานที่คุณทำอยู่ได้ หากปราศจากเหตุผลอันหนักแน่นเพียงพอ

ใบหน้า
คุณให้ความสำคัญกับสันติภาพอยู่เหนือสิ่งใดและเหล่าเพื่อนๆ ก็เป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างมากต่อคุณ คุณยินดีที่จะแบ่งปันรางวัลทั้งหมดของคุณแก่เหล่าเพื่อน และคุณเป็นคนที่ไม่หงุดหงิดง่ายๆ ถ้าเกิดมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเพียงเล็กน้อย คุณเป็นคนใจดี อีกทั้งยังไม่เก็บเรื่องแย่ๆ ของคนอื่นมาครุ่นคิด

ดังนั้น คุณจึงมีความสามารถที่จะรักษาความสัมพันธ์ด้านความรัก และความเมตตาเอาไว้ได้ยาวนาน

ริมฝีปาก
คุณเป็นคนหนึ่งที่มีความซื่อสัตย์มาก เมื่อคุณได้จุมพิตริมฝีปากของใครคนหนึ่ง คุณได้แสดงออกอย่างแน่นอนถึงความหวังของการมีรักแท้ ราวกับมีการเปล่งประกายแสงออกมาของความเชื่อมั่น คุณเป็นคนหนึ่งที่มีหลักเกณฑ์ทางศีลธรรมที่เข้มงวด

ช่วงคอ
ธรรมชาติความรักของคุณ คุณไม่ได้เป็นคนที่ฝันถึงเรื่องความรักชั่วนิจนิรันดร แม้ว่าความรู้สึกในการเป็นเจ้าของในสิ่งต่างๆ ของคุณจะมีมากก็ตาม แต่มันก็จะจางหายไปในชั่วเวลาหนึ่ง แม้ว่าคุณจะไม่ได้รักคนรักของคุณแล้ว แต่คุณก็มีความเห็นแก่ตัว ต้องการให้คนรักของคุณยังคงรักคุณอยู่ คุณไม่ใคร่มีความกระตือรือร้นมากเท่าใดนักต่อชีวิตของคุณเอง
และไม่ได้มีอะไรพิเศษเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับบทบาททางเพศของคุณ

ที่มา http://www.funny2cu.com/testform/testform41.php

ทายนิสัยจากลักษณะท่ายืน

ยืนหลังงอ

เวลาที่คนเรายืนแล้วหลังงอ หรือค่อมลงมานั้นสามารถบอกได้ถึงนิสัยใจคอที่จริงจังของคน ๆ นั้น ว่าเป็นคนซีเรียส และรอบคอบมาก โดยเฉพาะกับเรื่องการงานซึ่งเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับอย่างยิ่ง และไม่ชอบให้ใครมาล้อเล่นกับตน ในขณะเดียวกันคนแบบนี้ก็จะเขินประหม่าได้ง่าย ๆ อย่างไม่น่าเชื่อในสถานที่ที่มีคนมาก แต่ก็เป็นพ่อแม่ที่ดี

ยืนอกผายไหล่ผึ่ง

ท่ายืนแบบนี้เป็นท่ายืนที่คนเรียน ร..จะ ต้องถูกหัดให้ยืนเสมอ เพราะเป็นท่ายืนที่แสดงถึงความสง่า ผ่าเผย เข้มแข็ง คนที่มีท่ายืนแบบนี้นั้น แสดงว่าเป็นคนที่มีนิสัยกล้าหาญ และมีลักษณะของคนที่เกิดมาเพื่อเป็นผู้นำคนอื่นเป็นคนชอบใช้ชีวิตกลางแจ้ง ที่เป็นอิสระไร้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ มาพันธนาการ แล้วก็ยังเป็นคนมีเพื่อนมาก แต่เมื่อมีครอบครัวจะเป็นคนที่รักบ้านและครอบครัวเป็นพิเศษ และเป็นยังคนมีความสามารถในการไกล่เกลี่ยอีกด้วย

ยืนตัวตรงเป๊ะ

ลักษณะนิสัยโดยทั่วไปของคนที่ยืนแบบนี้ มักเป็นคนที่มีความเผด็จการ หรือชอบให้คนอื่นทำตามความคิดของตน ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นคนที่ไม่ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น แต่จะเป็นคนคอยออกคำสั่งหรือบงการได้ดี เป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตัวเองสูง ชอบความสะอาด สะอ้าน และความเรียบร้อยสมบูรณ์แบบแล้วก็ยังเป็นคนที่ตรงไปตรงมา มักถูกนิสัยกับคนที่พูดจาที่ฉะฉานไม่อ้อมค้อม

ยืนเอนตัวไปด้านหลัง

คนที่มีท่ายืนแบบนี้ซึ่งต่างจากอีกท่าที่กล่าวถึงไปแล้วข้างต้นนั้น จะเป็นคนที่มีนิสัยสุภาพเรียบร้อยเป็นอย่างยิ่งซึ่งถ้าเป็นผู้หญิงก็คือผู้หญิงที่อ่อนหวานนุ่มนวล แต่ถ้าเป็นผู้ชายก็จะเป็นคนที่ละเอียดเรียบร้อยเกินนิสัยผู้ชายทั่วไป แล้วยังค่อยไปทางขี้อายประหม่าง่าย แต่คนส่วนใหญ่ ที่ได้รู้จักจะชื่นชอบในนิสัยใจคอ เพราะเป็นคนเรียบง่ายไม่ถือ เนื้อถือตัว หรือมีพิธีรีตองอะไร

ยืนไร้ท่าทางชัดเจน

ท่านยืนนี้ จะเป็นท่าที่ไม่สามารถกำหนดออกมาได้อย่างชัดเจน เพราะคนยืนจะยืนได้ไร้ระเบียบมาก ปลายเท้าข้างนึงชี้ไปทางนี้ อีกข้างชี้ไปทางนั้น แสดงว่าคนที่ยืนแบบนี้ เป็นคนที่ไม่ชอบการอยู่ในกฎเกณฑ์ หรือในระบบที่คนอื่นกำหนดขึ้นมาได้เลย แต่จะชอบงานที่ได้ไปไหนมาไหน พบปะกับผู้คนมากหน้าหลายตา เพราะเป็นคนมีมนุษย์สัมพันธ์ดี ชอบหยิบยื่นไมตรีให้คนอื่น ๆ แล้วก็ยังชอบความสนุกสนานอีกด้วย

ยืนแอ่นตัว

คนที่เวลายืนแล้วมักแอ่นตัวหรือแอ่นพุงตัวเองไปข้างหน้านั้น แสดงถึงนิสัยของคนอ่อนไหว โอบอ้อมอารี และสามารถ เป็นที่พึ่งพาของคนอื่นได้ดี โดยเฉพาะเรื่องที่ต้องมีการตัดสินใจ เพราะเป็นคนรอบคอบ รู้จักคิดคิดหน้าหลังแต่จะเป็นคนที่ไม่ชอบการเข้าสังคม และการตกเป็นจุดสนใจของคนอื่น


ที่มา http://www.funny2cu.com/testform/testform34.php

ทายนิสัยจากการอาบน้ำ

ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายเวลาเหนื่อยๆมาจากงานหรือเล่นกีฬาการได้อาบน้ำชำระล้างร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นการอาบน้ำอุ่นหรือน้ำเย็นก็ตามแต่การอาบน้ำนั้น ก็นำมาทายใจกันได้ เอาน่า มาลองดูกัน แต่ไม่ได้แปลว่าให้ไปถ้ำมอง แอบดูคนอื่นอาบน้ำหรอกนะ ถามเค้าเอาก็ได้(มั้ง)

ราดน้ำนิดหน่อยก็ถูสบู่เลย
คนที่เวลาอาบน้ำ ก็ราดตัวปุ๊บถูสบู่นั้น แสดงว่าเป็นคนใจร้อน
ทำอะไรก็จะรีบเร่งแต่ก็หมายถึงว่าต้องเป็นสิ่งที่ตัวเองให้ความสนใจ
ถ้าไม่สนใจก็จะผลัดวันประกันพรุ่งไปได้เรื่อยๆ
เป็นคนที่มักจะคิดการใหญ่ แต่ไม่ค่อยจะให้ความสำคัญเรื่องรายละเอียดปลีกย่อย
และยังเป็นคนที่มีจินตนาการสูง
โดยเฉพาะในเรื่องที่เกี่ยวกับการทำงาน
เหมาะกับการทำงานที่ต้องใช้ความคิด สร้างสรรค์ และให้อิสระ

ชอบขัดสีฉวีวรรณอย่างบรรจง
คนที่อาบน้ำอย่างตั้งใจ
ขัดสีฉวีวรรณอย่างบรรจงนั้นแสดงว่าเป็นคนที่จิตใจละเอียดอ่อน
ไม่ชอบการทำอะไรค้างๆคาๆ เป็นคนพิถีพิถัน และมีความรักล้นเหลือในจิตใจ
นอกจากนี้ยังเป็นคนที่มีจิตใจเมตตาอ่อนโยนใจดี ชอบช่วยเหลือคน
และเป็นคนที่ใส่ใจอาทรดูแลคนอื่นเก่ง มีความเป็นแม่
และยังนุ่มนวลอ่อนไหวเป็นธรรมชาติ
สามารถรับฟังปัญหาหนักอกหนักใจของคนอื่นได้โดยไม่เบื่อนอกจากรู้สึกเห็นใจ
เป็นคนที่มีมนุษยธรรมมมากๆเลยทีเดียว

ชอบฟอกสบู่ให้มีฟองเยอะๆ
คนที่ชอบให้ฟองสบู่ท่วมตัวนั้น จะเป็นคนที่มีเสน่ห์ ชอบการเอาอกเอาใจ
ชอบสิ่งสวยๆงามๆ จะมีความสุข เมื่อได้อยู่ในสถานที่โถง หรูหรา มีคนมาเทคแคร์
เป็นคนที่ดูแลตัวเองได้อย่างดีเยี่ยม
รู้จักการวางตัวในสังคมและเข้ากับคนเก่ง
นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ช่างสังเกต ทำงานที่รับผิดชอบได้เป็นอย่างดี
และมีความเรียบร้อยสมบูรณ์แบบมาก โดยเฉพาะงานด้านจัดการหรือวางแผน

ชอบให้ตัวเปียกมากๆ
ส่วนคนที่ชอบอาบน้ำให้ตัวเปียกชุ่มโชก ไม่ว่าจะอาบด้วยฝักบัว
หรือแช่ในอ่าง หรือจ้วงตักราดด้วยขันถี่ยิบนั้น
แสดงว่าเป็นคนที่มักซุกซ่อนความเครียดไว้ในใจ
เก็บความรู้สึกเก่ง อารมณ์อ่อนไหวมากเกินไป
และยังเป็นคนที่มีความลับเยอะมาก
ถ้าไม่ใช่คนที่สนิทสนมจริงๆ ก็จะไม่ยอมเผยใจด้วยเด็ดขาด
และเมื่อชื่นชอบใครก็จะหลงไหลคลั่งไคล้อย่างมาก
ยามผิดหวังก็จะรุนแรงเช่นกัน

ชอบถูสบู่ครั้งเดียวพอ
คนที่อาบน้ำแบบนี้ มักจะเป็นคนที่ชอบความเรียบง่ายมีนิสัยตรงไปตรงมา
อ้อมค้อมไม่เป็น จะรักหรือเกลียด ก็จะแสดงออกมาชัดเจน
โดยไม่สนใจความรู้สึกผู้อื่น
นอกจากนี้ยังเป็นคนชอบความปราดเปรียวว่องไว
ทำงานและเข้าใจงานได้เร็ว และยังเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิต
ถ้ารักใครก็จะรีบขอคำตอยโดยเร็ว หากรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีใจให้
ก็จะตัดใจได้เร็วเช่นกัน จะเป็นคนที่ถือดี
อยู่ในตัวทั้งยังชื่นชมตัวเองค่อนข้างมาก

ชอบน้ำอุ่นๆ
คนที่ชอบน้ำอุ่นที่สุด แสดงว่าเป็นคนที่รักความสุขสบาย
ไม่ชอบความลำบาก เป็นคนถนอมตัว อ่อนโยน และชอบอยู่กับบ้านเป็นพิเศษ
มักเป็นคนที่ไม่ชอบการออกแรงกล้างแจ้ง
นอกเสียจากว่าเป็นการไปท่องเที่ยว
นอกจากนี้ยังเป็นคนที่ชอบตามใจคนอื่น
เจ้าเสน่ห์และยังมีอารมณ์อันอ่อนหวาน
แต่ในอีกด้านหนึ่งนั้นจะเป็นคนที่โลเลเอาแน่เอานอนไม่ได้เลย

ชอบอาบน้ำเย็นที่สุด
คนที่ชอบอาบน้ำเย็นมากๆ แสดงว่าเป็นคนเข้มแข้ง
มักจะมีความแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ และมีความมั่นคงหนักแน่นมาก
เป็นพูดจริงทำจริง
และติดดินนอกจากนี้เป็นคนที่ต่อสู้ฝ่าฟันอุปสรรคเก่ง
เมื่อท้อแท้จะสร้างกำลังใจได้ด้วยตัวเอง
จะไม่ช่คนที่ยอมลดละความตั้งใจไปง่ายๆ
แต่ในอีกด้านหนึ่งจะเป็นคนที่หัวรั้นอยู่สักหน่อย
ไม่ค่อยสนใจคำแนะนำของผู้อื่น
มีแต่ดื้อดึงจะทำตามที่ตนต้องการเท่านั้น

ไม่ชอบอาบน้ำสักเท่าไร
ส่วนคนที่มีนิสัยอายน้ำแบบนี้
แสดงว่าจะเป็นคนที่ไม่ค่อยใสใจในเรื่องละเอียดหยุมหยิม
เป็นคนไม่อ่อนแอ แต่ก็ไม่เข้มแข็ง ชอบอยู่ในที่ๆไม่เร่งรีบ
และการมีเวลาเป็นของตัวเองเยอะๆมักมีเหตุผลในการกระทำเสมอทั้งที่ลึกๆก็เป็น เรื่องของอารมณ์อารมณ์นะเองนอกจากนี้ยังเป็นคนที่ไม่ค่อยมีกฏเกณฑ์ในชีวิต นัก
แต่ข้อดีคือการเป็นอารมณ์ดี
ช่างจินตนการ คนอยู่ใกล้จะรู้สึกสบายใจ
แต่มักจะไม่น่ารักกับนิสัยไร้ความรับผิดชอบ


ที่มา http://www.funny2cu.com/testform/testform20.php

วันอาทิตย์ที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2553

อันตรายที่มากับความหวาน

ของหวาน ขนมหวาน ใครบ้างล่ะค่ะที่ไม่ชอบโดยเฉพาะสาวๆ ขนมหวานเนี่ยของโปรดเลยใช่ไหมค่ะ แต่หยุดก่อนค่ะเพราะหากว่าคุณทานขนมหวานมากเกินไปเกิดโทษแน่ๆ ยังไงหากคิดจะทานขนมหวานก็มาดูกันสักนิดนะค่ะ ว่าโทษร้ายแรงที่มากับความหวานน่ะมากมายแค่ไหน

1. ภาวะเลือดเป็นกรด
เกิดจากการที่มีน้ำตาลเชิงเดี่ยวจากน้ำตาลทราย น้ำผึ้ง ผลไม้ นม วิ่งเข้าสู่กระแสเลือดเป็นจำนวนมาก จนทำให้เลือดมีสภาวะเป็นกรด ร่างกายต้องแก้ปัญหาโดยการดึงแร่ธาตุจากส่วนต่างๆ เข้ามาในเลือด เพื่อปรับความเป็นกรดให้สมดุล ร่างกายจึงขาดสารอาหารจนอ่อนเพลีย หมดเรี่ยวหมดแรง กระดูกเปราะ นี่คือเหตุผลว่าทำไมสาวหวานถึงได้บอบบาง ป่วยง่ายหายช้ากันนัก

2. ฟันผุ
คนที่มีน้ำตาลเกาะอยู่ที่ผิวเคลือบฟันตลอดวัน มักจะฟันผุและมีกลิ่นปาก เพราะคราบน้ำตาลที่เกาะอยู่ก็คืออาหารโต๊ะจีนสุดหรูท ี่แบคทีเรียในช่องปาก ช้อบ..ชอบ

3. อารมณ์เสีย หงุดหงิด ขี้โมโห
นี่คือลักษณะเด่นของคนที่ชอบความหวานเลยเชียว เพราะการมีน้ำตาลในเลือดมากทำให้ตับอ่อนต้องทำงานหนั ก และขับอินซูลินออกมามากเกินไป เมื่อมีอินซูลินในสมองมาก เราจะเครียดจนกลายเป็นคนขี้โมโห ควบคุมอารมณ์ สติ ไม่ค่อยได้

4. ง่วงเหงาหาวนอนตลอดเวลา
เมื่อมีน้ำตาลในเลือดมากจนเลือดเป็นกรด ร่างกายจะไม่ส่งเลือดแบบนั้นขึ้นไปเลี้ยงสมอง ทำให้สมองขาดเลือด เราจึงง่วงซึม คิดอะไรไม่ออกไปทั้งวัน

5. อ้วน
น้ำตาลก็คือคาร์โบไฮเดรตรูปแบบหนึ่ง เมื่อมันเข้าสู่ร่างกายจะถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นไขมัน และถูกส่งไปสะสมอยู่ตาม หน้าท้อง สะโพก ต้นขา และที่อื่นๆ ที่คุณไม่อยากให้มี

6. เป็นโรคติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
เพราะน้ำตาลก็คืออาหารของเชื้อโรค คนที่ชอบความหวานจึงมักจะแผลหายช้ากว่าคนอื่น และถึงหายก็มักจะเป็นแผลเป็น เพราะเชื้อโรคที่บาดแผลได้ของดีมาเพิ่มพลังนี่เอง

7. ความดันสูง
หลังจากร่างกายเปลี่ยนน้ำตาลเป็นไขมันแล้ว กรดไขมันเหล่านี้จะถูกส่งไปเกาะอยู่ตามอวัยวะภายในอย ่างหัวใจ ตับ และไต ทำให้อวัยวะสำคัญทำงานไม่สะดวก ความดันเลือดจึงค่อยๆ สูงขึ้นจนอาจเป็นอันตรายร้ายแรงได้

8. ปวดหัวเรื้อรัง
เป็นไมเกรน สิวขึ้น เกิดแผลพุพอง เป็นตะคริว เวลาที่มีรอบเดือน มีโอกาสเป็นเบาหวาน วัณโรค โรคหัวใจ และมะเร็งตับได้ตลอดเวลา

ที่มา http://women.sanook.com/อันตรายที่มากับความหวาน-925823.html

การป้องกันการปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ และวิ่งราวทรัพย์ ตามสถานที่ประกอบการค้า หรือที่พักอาศัย

การป้องกันการปล้นทรัพย์ ชิงทรัพย์ และวิ่งราวทรัพย์ ตามสถานที่ประกอบการค้า หรือที่พักอาศัย (ThaiTAS.com)

เพื่อเป็นการป้องกันในทรัพย์ที่ติดตัวไปกับท่านในที่ต่าง ๆ ขอให้ระมัดระวังตัวท่านเอง โดย

1. การติดสัญญาณแจ้งภัยไว้หลาย ๆ แห่ง เพื่อให้ผู้อื่นหรือเพื่อนบ้านใกล้เคียงทราบกำหนดสัญญาณ ควรตีเกราะขอความช่วยเหลือเมื่อเกิดเหตุร้าย และแจ้งเหตุให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ

2. การจ้างคนงาน คนรับใช้ หรือพนักงานควรมีสำเนาบัตรประชาชน หรือบัตรประจำตัวต่าง ๆ ถ่ายรูปและรายละเอียดเกี่ยวกับประวัติส่วนตัว ญาติพี่น้อง เพื่อทราบที่อยู่ความเป็นมา อาชีพดั้งเดิม ความประพฤติตลอดจนญาติพี่น้อง หรือคนรู้จักเพื่อสามารถติดต่อในภายหลัง หากต้องการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจพิมพ์ลายนิ้วมือเพื่อทำการตรวจสอบประวัติก็ให้ขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจท้องที่

3. เครื่องประดับที่มีไว้แต่งตัว หรือไว้เพื่อค้าขาย ถ้าเป็นไปได้ควรจดรายละเอียดตำหนิรูปพรรณ ลักษณะพิเศษ ราคา และถ่ายรูปเก็บไว้

4. ไม่ควรติดกลอนประตู หน้าต่าง ด้านนอก เพราะคนร้ายจะใช้เป็นห้องขังได้เป็นอย่างดี

5. ระมัดระวังคนแปลกหน้าที่มาเดินวนเวียนไปมาหลายครั้ง หรือมีท่าทางพิรุธน่าสงสัย ควรรีบแจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ

6. ไม่ควรอยู่ทำการค้า หรือธุรกิจในห้างร้าน บริษัท เพียงคนเดียว เมื่อหยิบสินค้าหรือสิ่งของจากหลังร้านชั้นบน หรือที่เก็บของ ควรมีผู้อยู่ดูแลหน้าร้าน หรืออยู่กับลูกค้าเสมอ และควรระมัดระวังเป็นพิเศษเมื่อมีลูกค้าเข้ามาในร้านคราวละมาก ๆ

7. ควรผูกมิตรกับเพื่อนบ้านใกล้เคียง เพื่อช่วยเป็นหูเป็นตาและให้ความช่วยเหลือแก่กัน และกัน

8. ไม่ควรเก็บเงินสนจำนวนมาก หรือทรัพย์สินที่มีค่าไว้ในสถานที่ประกอบการค้า

9. การเปิด-ปิดสถานที่ประกอบการค้า ไม่ควรเปิดแต่เช้าตรู่ หรือยังมืดอยู่ และไม่ควรปิดจนค่ำหรือดึกเกินไป

10. ขณะที่จะปิดหรือกำลังจะปิดสถานประกอบการ หากมีคนแปลกหน้ามาติดต่อการค้าหรือธุรกิจต่าง ๆ ควรพิจารณาและระมัดระวังอาจจะเป็นคนร้าย ถ้าเป็นไปได้ควรรีบปฏิเสธในทุกเรื่อง โดยอ้างว่าปิดทำการแล้ว

11. พยายามจดจำตำหนิรูปพรรณคนที่เข้ามาติดต่อ หากเป็นคนร้ายแล้วก่อเหตุขึ้นจะได้แจ้งรายละเอียดให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ เพื่อเป็นประโยชน์ในการจับกุม

12. ไม่ควรมีแต่เพียงเด็ก หรือสตรีเท่านั้นอยู่เฝ้าดูแลสถานประกอบการหรือที่พักอาศัย

13. ควรสำรวจประตู หน้าต่าง ช่องระบายอากาศ ของสถานประกอบการค้า หรือที่พักอาศัยให้อยู่ในสภาพที่มั่นคงแข็งแรง การปิดทุกครั้งต้องใส่กลอน ใส่กุญแจอย่างแน่นหนาทุกครั้ง

14. ไม่ควรนำสินค้าหรือเครื่องประดับที่มีราคาแพง ๆ ออกมาให้ลูกค้าเลือกหลาย ๆ แบบ หลาย ๆ ชนิดในคราวเดียวกัน การจัดสถานประกอบการค้า ควรให้สามารถมองเห็นได้จากภายนอก

15. เมื่อเกิดเหตุพยายามสงบสติอารมณ์ แล้วจดจำตำหนิรูปพรรณของคนร้าย การแต่งกาย อาวุธ พาหนะ เส้นทางหลบหนี

16. เมื่อเกิดเหตุควรช่วยรักษาสถานที่เกิดเหตุ จนกว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะเดินทางมาถึง

17. อย่าพยายามจับคนร้ายโดยลำพังด้วยตนเอง เมื่อคนร้ายก่อเหตุให้รีบแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจทราบ

18. ในหมู่บ้านควรจัดเป็นคอกรวมและมีเวรยามดูแลรักษาตลอดคืน

19. กรณีที่มีการซื้อขาย พืชผลทางการเกษตรหรือสัตว์ที่มีมูลค่าสูงไม่ควรเก็บเงินสดไว้ที่บ้านควรใช้บริการของธนาคาร

20. การเบิกจ่ายเงินเดือนของหน่วยราชการ และบริษัทห้างร้านควรเบิกจ่ายให้กับธนาคารในท้องที่ หากไม่มีควรขอความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ตำรวจในการเบิกเงิน และไม่ควรเดินทางในเวลากลางคืน

ที่มา http://icare.kapook.com/content_detail.php?t_id=0&id=2824

วันเสาร์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กรุ๊ปเลือดบอกนิสัยการเงิน



กรุ๊ปเลือดบอกนิสัยการเงิน

กรุ๊ป A

เป็นคนที่มีระเบียบในชีวิต มีความคิดเป็นระบบเหมือนลิ้นชัก มีความรับผิดชอบสูง และชอบคิดว่
าเรื่องของคนอื่นคืองานของตนเอง ที่สำคัญติดหลงตัวเองนิดๆ พอน่ารัก

นิสัยการเงิน-กรุ๊ปเอเป็นกรุ๊ปที่เก็บเงินได้เก่ง มีเงินเหลือเล็กๆ น้อยๆ ก็เอาเข้าบัญชี แต่ทว่าเมื่อ
ถึงคราวที่จะต้องใช้ก็มักจะเทออกมาหมดหน้าตักจนเกลี้ยงกระเป๋า เลยทีเดียว ที่สำคัญคนกรุ๊ปเอมัก
เชื่อว่าตนเองนั้นรู้ตัวดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ แต่บางทีทิฐิมานะควรเอาไปใช้ให้ถูกทางดีกว่า
นอกจากนั้น เวลาช้อปปิ้ง คนกรุ๊ปเอจะมีรสนิยมสูง นิยมของแบรนด์เนม แต่เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าดูแล้วก็มักมีแต่
เสื้อผ้าที่เหมือนๆ กันไปหมด


กรุ๊ป B

สาวใสหัวใจศิลปิน เธอผู้นี้ใช้อารมณ์เหนือเหตุผลทั้งปวง แม้ว่าจะตกลงไปเที่ยวกันอย่างดิบดีแล้ว
เธอก็อาจจะไม่ไปเสียดื้อๆ ส่วนข้อดีของเธอคือการเป็นนักสร้างสรรค์ที่หาตัวจับยาก
และพูดตรงจนใครๆ กลัวเชียวล่ะ
นิสัยการเงิน-เนื่องจากเธอคนนี้ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ บางครั้งก็ประหยัดจนไส้กิ่วแต่บางครั้ง
ก็ซื้อของหรูหราได้อย่างไม่เสียดาย เงิน เพราะเพียงว่าเธออยากได้แค่นั่นเอง
และบางครั้งก็มักทำเรื่องผิดพลาดทางการเงินง่ายๆ ประเภทเสียน้อยเสียยากเสียมากเสียง่าย (เป็นประจำ)
ส่วนใหญ่จะเก็บเงินได้ดียามที่มีกฏข้อบังคับ เช่น ฝากประจำ เล่นแชร์ เป็นต้น

กรุ๊ป O
สาวคนนี้มีเพื่อนเยอะ มีความยืดหยุ่นสูงร่วมกับความโลเลบ้างในบางครั้ง ค่อนข้างจะถนอม
น้ำใจคนอื่นๆ มากกว่าที่จะว่ากล่าวไปตรงๆ แต่เมื่อระเบิดแล้วใครๆ ก็ห้ามไม่อยู่
นิสัยการเงิน-คนกรุ๊ปโอไม่โผงผางออกจะเป็นคนเรื่อยๆ มากกว่า ดังนั้น เรื่องการเงินจะค่อนข้าง
มีระเบียบวินัยกว่ากรุ๊ปอื่นๆ แต่มักไปเสียเงินเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น หนังสือการ์ตูน กระเป๋าย่ามใบเล็กๆ
หรือแม้แต่กิ๊บติดผม ที่สำคัญคนกรุ๊ปนี้มักมีเงินแอบเก็บก้อนโตไว้เสมอ จึงมักไม่ค่อยมีปัญหาเรื่องเงินทอง


กรุ๊ป AB

เป็นสาวที่คิดอะไรไม่เหมือนใคร ชอบเอาตนเองไปผูกพันกับความรู้สึกของคนอื่น แต่มักสร้าง
เกราะกำบังตัวเอง ไม่ชอบเปิดใจให้แก่ใครนัก ทำให้คุณเป็นคนที่มีเพื่อนน้อย

นิสัยการเงิน-ด้วยลักษณะนิสัยที่เป็นคนคิดเยอะ เวลาใครชวนทำประกันชีวิตหรือกองทุนต่างๆ
ก็มักปฏิเสธหรือไม่ให้คำตอบ แถมความคิดมากนั้นไม่ค่อยออกมาเป็นรูปธรรมสักเท่าไร
มักคิดแล้วก็หลงลืมไปปล่อยให้เป็นปัญหาคาราคาซังอยู่อย่างนั้น แต่กรุ๊ปเอบีบางคนก็เป็นสุดยอดใน
การหมุนเงินที่หาตัวจับยากทีเดียว



วิธีทำ ฝอยทอง แบบง่ายๆ

วิธีทำ ฝอยทอง แบบง่ายๆ







ส่วนผสม
น้ำเชื่อม, ไข่เป็ด, น้ำตาลทราย, น้ำค้างไข่, น้ำลอยดอกมะลิ,ไข่ไก่
วิธีทำ
1. น้ำตาลทราย น้ำ ตั้งไฟพอเดือดน้ำตาลละลาย
2. ยกลงกรองด้วยผ้าขาวบาง ตั้งไฟเคี่ยวต่อ
3. ให้น้ำเชื่อมมีลักษณะไม่ข้นหรือใสเกินไป เหมาะสำหรับโรยฝอยทอง
4. ตอกไข่ แยกไข่ขาวออกใช้แต่ไข่แดง และเก็บน้ำไข่ขาวที่ใสไม่เป็นลิ่ม

เรียกน้ำค้างไข่
5. นำไข่แดงใส่ผ้าขาวบางรีดเยื่อไข่ออก ผสมไข่แดงกับน้ำค้างไข่ตามส่วน

คนให้เข้ากัน
6. เตรียมกระทะทองใส่น้ำเชื่อมเดือด ๆ ไว้ ทำกรวยด้วยใบตอง หรือใช้กรวย

โลหะใส่
7.ไข่แดงโรยในน้ำเชื่อมเดือด ๆ ไปรอบ ๆ ประมาณ 20-30 รอบ เส้นไข่สุก

8. ใช้ไม้แหลมสอยขึ้นจากน้ำเชื่อม พับเป็นแพ อบด้วยควันเทียนหลังจากเย็นแล้ว