CTS ย่อมาจาก Carpal Tunnel Syndrome หรือชื่อในภาษาไทยเรียกว่า
“โรคพังผืดกดทับเส้นประสาท” โรคนี้ หลายคนอาจจะยังไม่คุ้นหูนัก แต่เชื่อว่า
ต่อจากนี้ไป จะเป็นที่รู้จักกันมากขึ้น เกิดได้กับคนทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะ
ผู้ที่ต้องทำงานอยู่กับเครื่องคอมพิวเตอร์ต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ ควรจะทำความ
รู้จักกับโรคนี้ให้มากขึ้นเพื่อเป็นการป้องกันการเกิด หรือการตรวจพบแต่เนิ่น ๆ
จะทำให้การรักษาได้ผลดีที่สุด ไม่เสี่ยงต่อความพิการหรือกล้ามเนื้อถูกทำลาย
อย่างถาวร
ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่เลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณแขนและมือ และรับความรู้สึกบริเวณฝ่ามือ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ นิ้วกลาง จนถึงครึ่งหนึ่งของนิ้วนาง เส้นประสาทนี้จะเดินทางตั้งแต่
บริเวณต้นคอจนถึงปลายนิ้วมือ ซึ่งบริเวณข้อมือนั้นจะต้องลอดช่องอุโมงค์ที่เรียกว่า
Carpal Tunnel เมื่ออุโมงค์นี้แคบลงจากสาเหตุต่าง ๆ หรือพังผืดที่บริเวณอุโมงค์
ข้อมือหนาตัวขึ้นจนไปกดทับเส้นประสาท หรือข้อมือได้รับแรงกดทับซ้ำแล้วซ้ำเล่า
จึงทำให้เป็นที่มาของโรคนี้
สาเหตุของโรคเกิดจาก 1. การใช้งานข้อมือในท่าเดิม ๆ อย่างเช่นคนที่ทำงานกับคอมพิวเตอร์นั้นต้องใช้เมาส์ โดยใช้ข้อมือเป็นจุดหมุน การกดแป้นคีย์บอร์ด การเย็บผ้า การถักนิตติ้ง ฯลฯ 2. การใช้ข้อมือที่มีการงอมือเป็นเวลานาน เช่น การกวาดบ้านนาน ๆ การรีดผ้า การหิ้วถุงที่มีการงอข้อมือ ฯลฯ 3. การทำงานที่มีการใช้ข้อมือกระดกขึ้นและการสั่นกระแทก เช่น ช่างฝีมือประเภท ต่าง ๆ พนักงานโรงงาน งานที่เกี่ยวกับการก่อสร้างหรืองานคอนกรีต 4. คนที่มีโรคประจำตัวที่มีผลต่อปลายประสาท เช่น เบาหวาน รูมาตอย ไทรอยด์ โรคข้ออักเสบในหญิงตั้งครรภ์ระยะใกล้คลอด ภาวะบวมน้ำจากโรคไตและตับ 5. การที่พังผืดหนาตัวมากขึ้น ไม่ว่าจะมาจากสภาพร่างกายที่มีอายุมากขึ้น เพศหญิง มีโอกาสเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะในหญิงวัยกลางคน 6. ลักษณะของโครงสร้างของข้อมือที่ผิดปกติ หรือแม้แต่กรรมพันธ์ก็เป็นสาเหตุได้ 7. เกิดจากอุบัติเหตุที่ทำให้บาดเจ็บหรือกระดูกหักบริเวณข้อมือ เช่น การหกล้ม รถชน 8. สาเหตุทางทุติยภูมิอื่น ๆ เช่น มีเยื่อหุ้มรอบเส้นเอ็นหนาตัวขึ้น ซึ่งจะทำให้มี ความดันสูงขึ้น โดยพังผืดไม่จำเป็นต้องหนาขึ้นก็ได้ อาการที่สังเกตุได้ ผู้ป่วยจะมีอาการปวด ชา ร้อน ตั้งแต่บริเวณข้อมือจนถึงปลายนิ้ว ซึ่งมักมีอาการบริเวณนิ้วโป้ง นิ้วชี้ และนิ้วกลาง หรือในบางรายอาจมีอาการได้ทั้งฝ่ามือ และอาจจะปวดไปจนถึงไหล่ หรือรู้สึกเสียวคล้ายถูกไฟช๊อต กลุ่มอาการต่าง ๆ เหล่านี้ อาจจะเกิดขึ้นเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง หรือเกิดหลายอย่างร่วมกัน จะรู้สึก ได้เมื่อทำกิจวัตรประจำวัน เช่น การขับรถ การทำงานบ้าน การนั่งดูทีวีหรือ การอ่านหนังสือ ฯลฯ อาการปวดจะมีมากขึ้นเมื่อมีการใช้งานในลักษณะการเกร็ง อยู่นาน ๆ ได้แก่ การจับมีด กรรไกร งานช่างที่ใช้ค้อนหรือใช้เครื่องมือที่มีแรง สั่นสะเทือนตั้งแต่เครื่องเป่าผม จนถึงเครื่องเจาะกระแทกคอนกรีต และมักจะ เกิดขึ้นบ่อยในตอนกลางคืน ถ้าเส้นประสาทยิ่งถูกกดทับมากขึ้นเท่าไหร่ ก็จะทำ ให้เกิดอาการอ่อนแรงของมือ หยิบจับสิ่งของลำบาก หรือถือของหล่นบ่อย ๆ และ จะรุนแรงถึงขึ้นปวดร้าวไปทั้งแขน ตลอดจนทำให้กล้ามเนื้อบริเวณฝ่ามือลีบเล็ก ส่งผลให้ประสิทธิภาพการทำงานของมือลดลงตามไปด้วย การป้องกัน 1. หลีกเลี่ยงการใช้งานที่เป็นอันตรายต่อข้อมือ หรือลดการใช้งานข้อมือท่าเดิมเป็น เวลานาน ๆ 2. หากต้องทำงานที่มีการกระแทกโดยตรงบริเวณข้อมือ ควรใช้อุปกรณ์ช่วยลด การกระแทกนั้น 3. คนที่มีโรคประจำตัวที่มีผลต่อปลายประสาท ควรติดตามอาการและควบคุม อย่างใกล้ชิด 4. การออกกำลังกายข้อมืออย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เส้นเอ็นและกล้ามเนื้อต่าง ๆ มีความแข็งแรง 5. การกินอาหารให้ครบห้าหมู่ หรือกินวิตามิน B เสริม และต้องไม่เครียด จะช่วยป้องกันการหนาของพังผืดได้ 6. หากเริ่มมีอาการมือชา และไม่ดีขึ้น ควรรีบไปพบแพทย์ วิธีการรักษา 1. การรักษาแบบเบื้องต้นแบ่งได้เป็น 3 ระดับ ได้แก่ (1) หากเกิดอาการชาเพียงอย่างเดียว แพทย์มักจะแนะนำให้ปรับท่าทาง การใช้มือ ลดกิจกรรมที่ทำให้เกิดการออกแรงของมือหรือหลีกเลี่ยงการ ใช้งานมือนั้นสักพักหนึ่งเพื่อให้มืออยู่ในท่าปกติ เป็นการช่วยลดอาการ บวมของอุโมงค์บริเวณข้อมือ และลดความกดดันที่เกิดกับบริเวณเส้น ประสาทลง รวมทั้งให้รับประทานยาแก้อักเสบ (2) มีอาการชามากขึ้นและมีการปวดร่วมด้วย แพทย์จะแนะนำให้รับประทาน ยาควบคู่ไปกับการใส่เฝือกพยุงข้อมือ เพื่อให้ข้อมืออยู่นิ่ง ๆ ตรง ๆ จะมีความดันในโพรงข้อมือต่ำสุด ซึ่งจะทำให้เลือดไหลไปเลี้ยงประสาท ดีขึ้น หากพังผืดยังไม่หนามาก จะได้ผลค่อนข้างดี (3) ถ้าชาและมีอาการปวดมาก แพทย์จะฉีดยาแก้อักเสบ (เป็นยาชาผสมกับ ยาสเตียรอยด์) ที่โพรงข้อมือร่วมกับการรับประทานยา แต่ถ้าหากว่า ไม่ได้ผลก็ต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัดต่อไป (1) การผ่าตัดแบบเปิด แพทย์จะทำการผ่าตั้งแต่ข้อมือถึงฝ่ามือ ซึ่งแผล จะยาวประมาณ 5 – 6 ซม. เพื่อเอาตัวพังผืดออกมา ทำให้เส้นประสาท ไม่ถูกกดทับ หลังจากการผ่าตัดผู้ป่วยมักจะมีอาการปวดแผล มือบวม ต้องใช้เวลาประมาณ 2 – 3 อาทิตย์ แผลจึงจะหายพอที่จะทำงานเบา ๆ ได้ และจะกลับมาเป็นปกติประมาณ 3 เดือน (2) การผ่าตัดแบบเปิดแผลจำกัด วิธีนี้จะเปิดแผลประมาณ 1.5 ซม. ที่ฝ่ามือ และสามารถตัดพังผืดออกได้เช่นเดียวกับวิธีแรก แต่ต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ ในการตัด วิธีนี้จะมีแผลที่เล็กกว่า ผู้ป่วยกลับไปทำงานได้เร็วขึ้น (3) การผ่าตัดผ่านกล้อง เป็นการผ่าตัดภายใต้กล้องส่องซึ่งจะแสดงภาพ อวัยวะภายในบริเวณข้อมือทางจอภาพ นับเป็นความก้าวหน้าใหม่ในการ รักษา แพทย์จะดูทางจอภาพและตัดพังผืดโดยใช้ใบมีดที่อยู่ปลายเครื่องมือ ซึ่งวิธีนี้ไม่ต้องผ่าตัดผ่านผิวหนังและกล้ามเนื้อของข้อมือเลย ผู้ป่วยจึง สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้หลังจากผ่าตัดประมาณ 3 วัน และสามารถ ไปทำงานได้ภายใน 7 วัน เนื่องจากแผลมีขนาดเล็กมากและหายเร็วกว่า การผ่าตัดแบบเปิด เมื่อแผลหายสนิทดีแล้วรอยแผลจะหายไปในรอยพับ ของข้อมือ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น